การพัฒนารูปแบบการสอนวิทยาศาสตร์
การจัดการเรียนรู้
DRU
Model
1. D: การวินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้ (Diagnosis of Needs)
ขั้น D : การวินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้ (Diagnosis of Needs) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ดังนี้
1) ใช้คำถามกระตุ้นความคิดในการกำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้
(specifying learning goals) เพื่อให้ผู้เรียนระบุว่าหน่วยการเรียนรู้หรือบทเรียนนั้น
ๆ มีความรู้และทักษะอะไร ผู้เรียนจะต้องระบุความรู้ในรูปของสารสนเทศ (declarative
knowledge) และระบุทักษะการปฏิบัติ หรือกระบวนการ (procedural
knowledge) ข้อมูลที่ได้จะต้องมีความชัดเจนทั้งในเรื่องของจุดมุ่งหมายและระดับคุณภาพของการเรียนรู้
กล่าวโดยสรุป จุดมุ่งหมายการเรียนรู้จะถูกระบุว่า ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้อะไร
และหรือสามารถทำอะไรได้
2) ใช้คำถามเพื่อให้ผู้เรียนคิดระดับพัฒนาการในการเรียนรู้
เป็นการออกแบบการเรียนรู้โดยอาศัย
แนวคิดการกำหนดเกณฑ์คุณภาพเป็นค่าระดับตามโครงสร้างการสังเกตผลการเรียนรู้
(structure
of observed learning out-come : SOLO Taxonomy) การวางกรอบการประเมินการเรียนรู้
จะช่วยให้มั่นใจว่าการจัดการเรียนการสอนหรือเรียนรู้ตรงตามจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้
อันส่งผลให้ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้
3) ผู้เรียนออกแบบการเรียนรู้หรือเลือกกลยุทธ์การเรียนรู้ของตนเอง
ที่คาดว่าจะช่วยให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้
โดยคำนึงถึงความมีประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพในกรณีที่จุดมุ่งหมายการเรียนรู้เป็นความรู้ความเข้าใจ
(ตามแนวคิดบลูมส์) กิจกรรมการเรียนรู้ก็อาจใช้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่เป็นการอ่าน(หนังสือ
คู่มือ ฯลฯ) หรือการฟัง(การบรรยาย อธิบาย ฯลฯ) เป็นต้น
ในกรณีที่จุดมุ่งหมายเป็นการพัฒนาความคิดขั้นสูง(วิเคราะห์ ประเมิน และสร้างสรรค์)
กิจกรรมการเรียนรู้ก็อาจใช้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้เชิงสังคม(social
constructivist) อาทิ การเรียนรู้แบบร่วมมือกัน(cooperative learning) กลยุทธ์การเรียนรู้แบบทำงานเป็นทีม ฯลฯ
2.
R: ขั้นการวิจัยเพื่อกำหนดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (R-Research
into identifying effective learning environments)
ขั้นการวิจัยเพื่อกำหนดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้
ได้นำแนวคิด “การวิจัยในกระบวนการเรียนรู้”
“สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้” มาเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้ดังนี้
1) ใช้คำถามเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายการเรียนรู้
(specifying learning goals) คือ ผลการเรียนรู้ สมรรถนะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์
ระดมสมองเพื่อกำหนดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้
แสวงหาแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้
การจัดสภาพแวดล้อมให้บรรยากาศการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน
เป็นต้น
2) ใช้คำถามสร้างความคิดเกี่ยวกับ
กิจกรรมการเรียนรู้ (learning activity) ในการเรียนรู้ผู้เรียนต้องเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเองเสมอ
ความสำคัญในการเรียนรู้อยู่ที่ผู้เรียนได้เรียนรู้อะไรมากกว่าที่จะบอกว่าผู้สอนสอนอะไรหรือทำอะไร
การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ – ปฏิบัติภาระงาน/กิจกรรมตามที่วิเคราะห์และออกแบบการเรียนรู้ไว้
เป็นการวางแนวทางเพื่อการเรียนรู้ ซึ่งหมายถึงการกระทำใด ๆ
ที่ช่วยส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนให้บรรลุจุดมุ่งหมายการเรียนรู้
ผู้เรียนมีการกำกับติดตามตนเองเพื่อให้ได้ความรู้ (monitoring the
execution of knowledge)
3) ใช้คำถามกระตุ้นผู้เรียนใช้กระบวนการวิจัยเพื่อสืบเสาะหาความรู้จากการศึกษาจากฐานข้อมูล
ความรู้/หนังสือ
หรือแหล่งสืบค้นออนไลน์
โดยระบุภาระงานในการสืบค้นรายบุคคลหรือกลุ่มมอบหมายงาน/ภาระงานรายบุคลหรือกลุ่มแล้วแต่กรณี
ร่วมกันวางแนวทางการประเมินด้วยการระบุคุณภาพการเรียนรู้เป็นวิถีทางที่จะนำผู้เรียนให้ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้
จากการวัดผลการเรียนรู้ของตนเอง
และช่วยให้ผู้เรียนสามารถกำกับติดตามได้อย่างกระจ่างชัด(monitoring
clarity)
4) ใช้คำถามกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ตรวจสอบทบทวนการเรียนรู้ของตนเอง
อาทิ “ผู้เรียนจะทำอะไรหรือปฏิบัติอย่างไรที่แสดงว่าผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้” “ผู้เรียนจะมีปฏิสัมพันธ์(วิเคราะห์
ประเมิน และสร้างสรรค์) กับแหล่งเรียนรู้อย่างไร” “ผู้เรียนจะได้รับหรือมีส่วนร่วมในการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้นั้น
ๆ อย่างไร” คำถามดังกล่าวนี้จะช่วยในการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนเองซึ่งเป็นแนวทางกำกับติดตามที่ถูกต้องแม่นยำ
(monitoring accuracy) จากนั้นผู้เรียนร่วมกันสรุป
และวิพากษ์ เป็นการนำเสนอความรู้โดยใช้ภาษา/คำพูดของตนเอง
3.
U: การตรวจสอบทบทวนโดยใช้แนวคิด UDL เพื่อการประเมินการพัฒนาการเรียนรู้
(U-Universal Design for Learning and Assessment)
ขั้นตอนการตรวจสอบทบทวนโดยใช้แนวคิด
UDL
เพื่อการประเมินการพัฒนาการเรียนรู้(U-Universal Design for
Learning and Assessment) นำแนวคิดการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล
ร่วมกับแนวคิดโครงสร้างการสังเกตผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Structure of
Observed Learning Out-come : SOLO Taxonomy) มาเป็นแนวคิดในการสร้างเกณฑ์ระดับคุณภาพของพัฒนาการการเรียนรู้
ดังนี้
1) ใช้คำถามกระตุ้นให้คิดตรวจสอบทบทวนเกี่ยวกับความรู้ใหม่
ที่ผู้เรียนสามารถบอกได้ว่าจุดหมายการเรียนรู้เกี่ยวข้องกับ
บริบทและหรือให้สารสนเทศพื้นฐานของเนื้อหาสาระ
หัวข้อสำคัญของบทเรียนหรือหน่วยการเรียน และจุดหมายดังกล่าวเหมาะสมกับท้องถิ่น
และสะท้อนมาตรฐานของชาติหรือไม่
2) ใช้คำถามที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถบอกได้ว่าผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้แล้ว
โดยการวิเคราะห์องค์ประกอบพื้นฐาน
การเลือกกิจกรรมที่ผู้เรียนจะได้รับโอกาสเพื่อความสำเร็จตามหลักสูตรประเมินจุดเด่น/จุดด้อยของตนเอง
สะท้อนพัฒนาการการเรียนรู้และเสนอแนะแนวทางการแก้ไข
3) ใช้คำถามเกี่ยวกับช่องทางหรือวิธีการที่ผู้เรียนจะให้ข้อมูลย้อนกลับมาเพื่อประเมินในระหว่างเรียนและเพื่อผู้เรียนได้ประเมินตนเอง
ร่วมกันประเมินการเรียนรู้ตามหลักสูตรและการบรรลุมาตรฐานของชาติ
4) ใช้คำถามเกี่ยวกับเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน
และข้อมูลย้อนกลับโดยรวม เพื่อนำไปวางแผนการจัดระดับคุณภาพ และหรือตัดสินผลการเรียน
ที่การประเมินความรู้ไม่ได้มาจากแบบทดสอบเท่านั้น แต่มาจากประเมินการปฏิบัติจากชิ้นงานตามระดับคุณภาพ
SOLO Taxonomy แบบประเมินผลงาน/ชิ้นงาน (ตามเกณฑ์การประเมินที่กำหนดไว้ในขั้นการวินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้
(Diagnosis of Needs) - คำถามเพื่อให้ผู้เรียนคิดระดับพัฒนาการในการเรียนรู้
เป็นการออกแบบการเรียนรู้
บทบาทครู
1. P: Plan (วางแผน)
- วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด
- กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้
2. M: Management
(การจัดการชั้นเรียน)
-
วางแผนการจัดการเรียนรู้
-
ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้และเลือกกลวิธีการเรียนรู้ (SN)
3. E:
Evaluation (ประเมิน)
-
วิเคราะห์คุณภาพกิจกรรม
- กำหนดเกณฑ์การประเมิน (AN)
บทบาทผู้เรียน
1. D: Design (ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้)
- กิจกรรม/ภาระงาน
-
วิเคราะห์คุณภาพกิจกรรม/ภาระงาน
- ศึกษาหาความรู้ (CN)
2.
L: Learning (การเรียนรู้)
- กำหนดจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้
- ทางเลือกในการเรียนรู้ (SN)
- ปฏิบัติการเรียนรู้
3.
AS: Assessment (การตรวจสอบทบทวนตนเอง)
-
ตรวจสอบการทำกิจกรรม
- ประเมินตนเองจากการทำกิจกรรม
- ทบทวนกลวิธีในการเรียนรู้
- แสวงหาความรู้เพิ่ม (AN)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น